เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลาจะปฏิบัติธรรมะไง เวลาจะปฏิบัติธรรมะ เห็นไหม ทางโลกเขาบอกว่าต้องมีจุดยืน แล้วโลกก็บอกส้นตีนเป็นจุดยืนไง จุดยืนของคนบนฝ่าเท้านี่ ส้นตีนของคนนี่เป็นจุดยืนนะ จุดยืนทางโลก แล้วจุดยืนทางใจล่ะ ถ้าจุดยืนทางหัวใจ เห็นไหม ถ้าคนมีจุดยืนนะมันไม่โลเล ถ้าคนโลเลนะรับสิ่งใดมันรับไม่ไหวมันเที่ยวโลเลไปเรื่อย จุดยืนของเรามันต้องมีใช่ไหม ถ้าจุดยืนของเรามีนะมันต้องมองเข้ามาข้างใน นี่ทวนกระแสเข้ามาที่เรา ถ้าทวนกระแสที่เราธรรมและวินัยสำคัญมาก เพราะธรรมวินัยมันออกจากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เป็นพระอรหันต์นะ พระอรหันต์ที่ไหน พระอรหันต์ที่หัวใจนั้น
ธรรมและวินัยเป็นกิริยาของธรรม คือเป็นกรอบเป็นกติกาของธรรม กรอบกติกานี้ชี้เข้าไปหาที่หัวใจ กรอบกติกาของธรรมะนี่ ธรรมและวินัยที่เราปฏิบัติกันนี่ชี้เข้ามาที่ความรู้สึก ชี้เข้ามาที่หัวใจ ไม่ได้ชี้ออกไปข้างนอก เห็นไหม แต่ปัจจุบันนี่โลกเจริญ โลกเจริญเขามองความเปลี่ยนแปลงของโลก เห็นไหม พระปฏิบัติไม่ได้ เดี๋ยวนี้โลกเจริญแล้ว ถือตามธรรมวินัยไม่ได้ ล้าหลัง คร่ำครึ ล้าสมัย เห็นไหม นรกสวรรค์ไม่ล้าสมัยหรอก ทุกข์ไม่ล้าสมัยหรอก เป็นความจริงตลอดไป เห็นไหม แล้วมันเปลี่ยนแปลงของโลก การเปลี่ยนแปลงทางสังคมมันเปลี่ยนแปลงไป มันไหลลงต่ำไง ความรู้สึกของคนมันไหลลงต่ำตลอดไป สังคมมันจะเป็นสภาวะแบบนั้น
เริ่มตั้งแต่พระจอมเกล้าฯ เข้ามารื้อฟื้นนะ คนยอมรับไม่ได้นะ ในสมัยหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ออกประพฤติปฏิบัติ เขารับกันไม่ได้หรอก ไอ้พระห่มผ้าสีดำๆ เขารับกันไม่ได้หรอก เขาห่มกันสีของตลาดไง สีของโลกๆ ไป ดูสิ เวลาหลวงตาท่านถามหลวงปู่มั่นว่าในสมัยพุทธกาลหลวงปู่มั่นพิจารณาแล้วใช้ผ้าสีอะไร ใช้ผ้าสีขนุนอย่างแก่ ใช้ผ้าสีขนุนอย่างกลาง ใช้ผ้าสีขนุนอย่างอ่อน แก่นขนุนทั้งนั้น สีเหลืองทองๆ อย่างนี้มีไหม? ไม่มี หลวงปู่มั่นบอกไม่มีเลย แต่โลกถือกันว่าเป็นสภาวะแบบนั้น แล้วเวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ออกประพฤติปฏิบัติกัน พระห่มผ้าสีดำๆ เขาเห็นเป็นสิ่งแปลกประหลาดสิ่งมหัศจรรย์นะ เขาดูถูกเหยียดหยามนะ ดูถูกเหยียดหยามด้วยความรู้สึกของเขาไง
แต่ความจริงครูบาอาจารย์ของเราจะเข้าไปถึงจุดยืนไง เห็นไหม มีจุดยืนของเรา ธรรมและวินัย เห็นไหม ย้อมผ้าด้วยน้ำฝาด ย้อมผ้าด้วยสีแก่นขนุน นี่ท่านมีจุดยืนสภาวะของเรา จุดยืนของเรา เราจะเข้าไปหาหัวใจของเรา เราจะต้องซื่อตรงกับตัวเราเอง ไม่ใช่เอาส่วนโลกมาเป็นประมาณ ถ้าส่วนโลกมาเป็นประมาณเขาไม่มีจุดยืนเรื่องของเขา สังคมเป็นเรื่องของเขา เราไม่แบกโลกหรอก โลกคือโลก พระเขาจะดีขนาดไหน พระเขาจะสั่งผ้าจากนอก เขาจะใช้ของมาจากสวรรค์ จากนรก จากไหน ก็เรื่องของเขา แต่เรื่องของเราจุดยืนของเรามันต้องมีใช่ไหม ถ้าจุดยืนเรามีเราจะไม่แบกรับเรื่องของเขาหรอก เรื่องของโลกสังคมเป็นอย่างไร
ครูบาอาจารย์ท่านบอกใช่ไหม วงกรรมฐานของเรา วงกรรมฐานคือวงในของเราเป็นครอบครัวหนึ่ง ครอบครัวหนึ่งเวลาประพฤติปฏิบัติธรรมขึ้นมานี่ นี่ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงคลมฺตตมํ มันจะมีความรื่นเริงอาจหาญในธรรมในครอบครัวของเรา ธรรมในครอบครัวมันก็อาจหาญขึ้นมาในหัวใจ มันปฏิบัติจริงเป็นสันทิฏฐิโก ใจมันปฏิบัติจริงขึ้นมา แต่โลกเขาอยู่กันไปด้วยมารยาทสังคมนะ ด้วยความเกรงอกเกรงใจนะ นี่มันตำน้ำพริกละลายแม่น้ำนะ น้ำพริกเราถ้วยเดียว เราจะละลายทะเลให้ทะเลมันรสชาติเหมือนน้ำพริกเรานี่มันเรื่องไร้สาระ โลกมันโลกภายนอก เห็นไหม
ดูสิ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านอยู่ในป่าของท่านนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนไม้องค์เดียวแท้ๆ เลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์เดียวแท้ๆ ตรัสรู้อยู่โคนต้นไม้ เห็นไหม เป็นประโยชน์สามโลกธาตุ เวลาเทศนาว่าการครั้งแรกได้ปัญจวัคคีย์มา ๕ องค์ เท่านั้นเอง
นี่ครูบาอาจารย์เวลาเทศน์ขึ้นมาคนสองคนพอแล้ว นี่ต้องเทศน์ขึ้นมาต้องมีคนมหาศาล ต้องมีสังคม ต้องมีการจัดฉาก ต้องอะไรไปนี่มันเป็นสังคม มันเป็นการบริหารจัดการ มันเป็นเรื่องการตลาดหมดเลย ธรรมะการตลาด ธรรมะหาเงิน ธรรมะล้วงกระเป๋า มันไม่เป็นความจริงหรอก แล้วเอาธรรมะล้วงกระเป๋านี้เป็นจุดยืน เห็นไหม ว่าสิ่งนั้นโลกเขาเป็นอย่างนั้น เราอยู่กับสภาวะแบบนั้นแล้วเราจะมาปฏิบัติมันครึล้าสมัยไม่ได้หรอก ครึล้าสมัยทุกข์มันล้าสมัยไหมล่ะ เวลาเงินทองมันช่วยอะไรเราได้ เงินทองมันช่วยอะไรเราได้ แก่เฒ่าช่วยเราได้ไหม เจ็บไข้ได้ป่วยช่วยเราได้ไหม เงินไปจ้างเขารักษาเท่านั้นนะ เงินรักษาเองไม่ได้หรอก หมอรักษาเรา คนดูแลรักษาเรา เราจะเอาเงินทองมาเป็นประโยชน์เหรอ
นี่ก็เหมือนกัน สิ่งจากภายนอกปัจจัยเครื่องอาศัยของสังคมเขา สังคมเขาเป็นสภาวะแบบนั้นไปแล้ว สิ่งที่เป็นสภาวะแบบนั้นก็เรื่องของเขาสิ เราอย่าไปเอาตรงนั้นเป็นตัวตั้ง ความชั่วใครๆ ก็ชอบ ความสะดวกสบาย ความไปกระแสโลก ไม่ต้องทำอะไรเลยงอมืองอเท้าอยู่ จุดยืนก็ไม่มี กลิ้งไป นอนไป ไหลไป ไม่มีฝ่าเท้าเดินไปเอง ทุกอย่างต้องอาศัยเขาไปหมดเลย เห็นไหม
แต่ถ้าเรามีจุดยืนของเราจะไปกลัวอะไร สิ่งนั้นไม่ต้องกลัวหรอก ถ้าเรามีจุดยืนของเรา เห็นไหม เราแก้ไขของเราได้ทั้งนั้นนะ อะไรในหัวใจของเราเกิดขึ้นมาเราแก้ไขของเราได้ เจ็บไข้ได้ป่วยเหรอ ธรรมโอสถ บวชมาแล้วนะฉันด้วยน้ำดองมูตรเน่า นิสัย ๔ อกรณียะ ๔ นิสัย ๔ อยู่ได้แล้ว มีบาตรใบเดียวบิณฑบาตเหลือกินแล้ว เจ็บไข้ได้ป่วยฉันด้วยน้ำมูตรเน่าอยู่ได้ทั้งนั้นนะ ถ้าอยู่ในสังคมจะเป็นอะไรไป สังคมจะบีบคั้นเราได้ไหม สังคมบีบคั้นไม่ได้ ที่ไหนไม่ดีเราก็ย้ายไปๆ กลัวอะไรไป เราอย่าเอาสังคมมาเป็นใหญ่สิ อย่าเอาเรื่องของโลกมาเป็นใหญ่ เรื่องของโลกมาเหยียบธรรมไม่ได้หรอก เรื่องของโลกเป็นเรื่องของโลก
เรื่องของธรรมะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นมานี่ นี่โลกุตตรธรรม เวลาบวชขึ้นมานี่เพื่อเป้าหมายคือหลุดพ้น ถ้าหลุดพ้นขึ้นมานี่ สิ่งที่มันเป็นเครื่องขัดเกลากิเลส สิ่งที่เป็นประโยชน์กับเราทำไมปฏิเสธ แล้วสิ่งที่ว่าไอ้พวกมูตรพวกคูถ ไอ้พวกเพี้ยพวกหนอน มันชอบของในอาจม แล้วมันก็ดำรงชีวิตกันแบบอาจม แล้วเราประพฤติปฏิบัติกันจะเอาอาจมนั้นเป็นครูเป็นอาจารย์ได้อย่างไร สิ่งที่เป็นอาจมก็เป็นอาจมไปสิ เรื่องของเขา มันเรื่องของเขา เรื่องกิเลสเป็นเรื่องของกิเลส ไม่ต้องเอามาเป็นใหญ่
เรื่องของธรรม ธรรมะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเธอ พระอานนท์ เห็นไหม นิมนต์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ต่อไป อานนท์ เราบอกเธอแล้วไม่ใช่เหรอ สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา แม้แต่ตถาคตต้องตายไป เรื่องของสรีระร่างกายมันแตกสลายเป็นธรรมดา แต่ธรรมและวินัยเราบัญญัติไว้ดีแล้วจะเป็นศาสดาของเธอ แล้วธรรมวินัยมันอยู่ในพระไตรปิฎก อ้าว เปิดขึ้นมามันก็ชัดเจนแล้ว กางพระไตรปิฎกมามันก็หน้าหงายแล้ว มันตีแสกหน้าเลย แต่ไม่ยอมรับพระไตรปิฎกไง ไปยอมรับสังคม สังคมต้องเป็นสภาวะแบบนั้น ยอมรับสังคม นี่มันโลเล ถ้าใจมันโลเลไม่มีความหมายหรอก มันไม่มีจุดยืนในหัวใจ เห็นไหม
นี่จุดยืนของโลกคืออะไร คนว่าจุดยืนของโลก ก็ฝ่าเท้านี่ไง ส้นตีนนี่จุดยืน แล้วส้นตีนมันอยู่ไหน ส้นตีนหาส้นตีนตัวเองไม่เจอเลย แล้วเอาจุดยืนมาจากไหน
หัวใจก็เหมือนกันหัวใจมันอยู่ที่ไหน ทำไมไม่มีจุดยืน ถ้าจุดยืนขึ้นมานี่มันเปิดพระไตรปิฎกมามันก็ชัดเจน แล้วมีครูบาอาจารย์คอยชี้นำ ถ้าครูบาอาจารย์ เห็นไหม พระไตรปิฎกพูดไม่ได้ใช่ไหม ตีความขึ้นมามันตีความด้วยกิเลสของเรา กิเลสของเรามันก็ตีความเข้าข้างเราเอง นี่กฎหมาย การตีความกฎหมายขัดแย้งกันได้ ขัดแย้งกันได้ก็ไม่มีปัญหา แนวทางการประพฤติปฏิบัติของใครก็ช่างหัวมัน กรรมฐาน ๔๐ ห้อง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกแล้วกรรมฐาน ๔๐ ห้อง เห็นไหม เปิดให้ ๔๐ วิธีการ เราจะบอกว่าคนอื่นผิดหมด วิธีการเราถูกคนเดียวนี่มันเก่งกว่าพระพุทธเจ้า มันเป็นไปไม่ได้หรอก พระพุทธเจ้ายังเปิดไว้ ๔๐ วิธีการใช่ไหม
วิธีการของใครเขาก็ผิด เขามีทางเดินเข้ามาสู่ใจของเขา ถ้าเขาทำของเขาได้ เราก็สาธุ สาธุการนะ สาธุก็เพราะจริตนิสัย จริตนิสัยมันแตกต่างกันมาก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่บัญญัติธรรมวินัย เห็นไหม ดูสิ พระจุนทะเห็นพวกนิครนถ์ตายไป นี่เขาแตกสานซ่านเซ็นนี่ ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเพราะเหตุใด เพราะไม่มีธรรมและวินัย ก็อาราธนาให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติธรรมวินัย เรายังบัญญัติไม่ได้เพราะมันไม่มีเหตุผลขึ้นมา จะบัญญัติวินัยก็ต่อเมื่อมันมีการผิดพลาดขึ้นมา มันมีเหตุถึงจะมีผลขึ้นมา แล้วพอมีอะไรขึ้นมา เห็นไหม วินัยแต่ละข้อนิยามเลย เพื่อความอยู่สุขของสงฆ์ เพื่อแก้ไขไอ้คนหน้าด้าน ให้คนมีความสุขอยู่ได้ เห็นไหม พระธรรมวินัยแก้ไอ้คนหน้าด้าน ไอ้คนที่ไม่เห็นแก่สังคมนะ ไอ้คนไม่เห็นแก่หมู่คณะ บีบคั้นมันไม่ให้มันเข้ามาในธรรมวินัยนี้ แล้วผู้ที่แก้ไขได้อยู่สุขสบาย ผู้อยู่ดีแล้วให้อยู่ดีขึ้นไป
นี่แล้วไอ้คนหน้าด้านมันเยอะๆ ไอ้คนหน้าด้านก็ปล่อยประสาคนหน้าด้านมันไป หน้าด้านไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับมัน เพราะมันเข้ามาเห็นไหม ดูสิ สมัยพุทธกาล ฉัพพัคคีย์ ธรรมวินัยผิดพลาดขึ้นมาเพราะฉัพพัคคีย์ทั้งนั้นนะ บัญญัติอะไรขึ้นมามันก็แถ มันก็แถ แถพระพุทธเจ้าก็บัญญัติ บัญญัติ อนุบัญญัติๆๆ ไปมหาศาลเลย นี่มันอยู่ในพระไตรปิฎกค้นคว้าได้ อย่าให้คนโกหก
นี่กาลามสูตร อย่าเชื่อแม้แต่ครูอาจารย์พูด อย่าเชื่อใครทั้งสิ้น ดูสิ หลวงตาท่านบอกว่า ท่านเป็นมหานะ ไปอยู่กับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นพูดอะไรก็เก็บหอมรอมริบ หลวงปู่มั่นผิดเล็กๆ น้อยๆ เก็บหอมรอมริบเลย แล้วดูไว้ แล้วมหานะ ในพระไตรปิฎกมันจะปิดกั้นได้ไหม นี่เมื่อเทียบพระไตรปิฎกมันก็เข้าๆๆ เข้าหมดเลย แต่เราได้แต่ทฤษฏีไง กฎหมายกางมานี่ใครๆ ก็ท่องได้ ใครๆ ก็ทำได้ แต่จะขึ้นว่าความ ว่าความได้ไหม เวลาขึ้นว่าความมันมีเทคนิคของมันอีก เห็นไหม
นี่ก็เหมือนกัน ธรรมและวินัย พระไตรปิฎกมันก็เหมือนกับหลักของกฎหมาย แล้วเราศึกษาแล้วเราเข้าใจแล้ว หลักกฎหมายนะ นี่เวลาความผิดพลาดในสังคมของสงฆ์ สงฆ์ที่มีความเห็นผิดไป แล้วสังคมนั้นมันมีความเข้มแข็ง มันมีคนที่ว่าเขารวมตัวกันเป็นหมู่ใหญ่ เราพูดออกไปมันจะแตกแยก เห็นไหม นี่พระพุทธเจ้าบอกว่าให้ค้านไว้ในหัวใจ สิ่งที่เขาทำมันเป็นกรรม มันเป็นกรรมนะ มันเป็นสภาคกรรม กรรมเกิดจากสงฆ์ สงฆ์นั้นเราค้านในใจ เราไม่รับผิดชอบ เราอยู่ในสภาวะบีบคั้นอย่างนั้น เราไม่รับผิดชอบนั้น เราค้านไว้ในหัวใจ เราไม่มีส่วนกรรมอันนั้นเพราะเราไม่เห็นด้วย แต่มันเป็นธรรมไง
ธรรมเหนือวินัย วินัยเป็นกฎหมาย ธรรมมันกว้างกว่าธรรมอีก ธรรมมันกว้างไป ธรรมคือสภาวธรรม ความเข้ากันได้ ความไม่แตกร้าว ความสมานฉันท์นี่คือธรรมหมดนะ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ นี่กฎหมายเหมือนกัน เป็นนิติศาสตร์ต้องตายตัว กฎหมายตายตัวนะ ถ้าผิดต้องผิดตายตัว ผิดตายตัวมันผิดของใคร ผิดของเรานะ มันมีเจตนาไหม มีเจตนากระทำไหม กระทำแล้วเกิดขึ้นมามันเป็นความผิดพลาดไหม ถ้าความผิดพลาดขึ้นมานี่มันเป็นอาบัติทั้งนั้นนะ แต่ถ้ามันทำไม่มีเจตนามันผิดพลาดไหม นี่ต้องอาบัติด้วยไม่รู้ ต้องอาบัติด้วยลังเลสงสัย ต้องอาบัติด้วยการกระทำ มันเป็นอาบัติมันก็เป็นอาบัติไป แต่ไอ้เรื่องเจตนา เรื่องกรรม เรื่องธรรม มันมีเจตนามันเป็นสภาวะกรรม
กรรมของสัตว์โลกมันมีหมดนะ ไม่ใช่กรรมของเรามีฝ่ายเดียว กรรมเขาก็มี ถ้ากรรมเขามันประสบขึ้นมา กรรมของเขามันมาประสบกัน เห็นไหม ดูสิ เราออกบิณฑบาต ทำไมเราไปเจอคนเขาศรัทธา บางคนเขาบอกเขาไม่ชอบไม่เห็นด้วย มันเป็นเรื่องธรรมดา ธรรมดาเรื่องของโลกอย่าเอาเป็นใหญ่ เห็นไหม ไม่ฟูไม่แฟบไปกับเขา โลกนี่มันฟูแฟบตลอดนะ เดี๋ยวมันก็ขึ้น นี่ความเป็นไปของโลกเดี๋ยวมันก็เจริญรุ่งเรือง เดี๋ยวมันก็ตกไป นี่ตามเศรษฐศาสตร์ เห็นไหม มีขาขึ้นขาลง มันธรรมชาติของเขา มีขึ้นมีลงอยู่อย่างนั้น นี่พระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ต้องตกเป็นธรรมดา
นี่แต่เราจะอยู่ด้วยธรรมดาด้วยอะไร อยู่กับธรรมดาเพื่อจะไม่ธรรมดาไง คนธรรมดาเหนือธรรมดา อยู่ธรรมดานี่ธรรมะ นิพพานคือธรรมดา คือความสามัญสำนึกนี่ล่ะ สูงสุดสู่สามัญ สูงสุดกับมาเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นธรรมเหนือโลกโว้ย! ไม่ใช่ธรรมชาติเป็นกระแสโลก กระแสโลกมันก็เวียนตายเวียนเกิด กระแสโลกมันก็หมุนไปเป็นธรรมชาติของมัน การเกิดและการตายเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ชีวิตคู่เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ทุกอย่างเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง แล้วรู้ธรรมชาติแล้วปล่อยธรรมชาติได้ด้วยความเป็นจริง ปล่อยธรรมชาตินะ ถ้าไม่ปล่อยธรรมชาติเราเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ธรรมชาติอันหนึ่ง สัพเพ ธัมมา อนัตตา อู๊ย! ธรรมเป็นอนัตตา นิพพานก็เป็นอนัตตา สรรพสิ่งก็เป็นอนัตตาหมด
อนัตตาพ่อมึง อนัตตาก็ธรรมชาติอันหนึ่ง มันแปรสภาพ ถ้าเป็นอนัตตาอยู่มันก็พ้นออกไปจากวัฏฏะไม่ได้ มันพ้นจากธรรมชาติไปไม่ได้ แล้วจิตมันจะพ้นจากธรรมชาติไปได้อย่างไร ถ้าเอาวิทยาศาสตร์มาจับ เอาพุทธมาจับ มันตายตัวๆ อยู่อย่างนั้นนะ ไอ้ตายตัวมันเถรตรง ความเถรตรงมันเป็นไปไม่ได้ ธรรมะมันเหนือนั้นอีก แล้วคนมันไปเห็นสัจจะความจริงมันทิ้งความเถรตรงอันนั้น แต่มันก็ดูตามความเถรตรงอันนั้นขึ้นไป
สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวธรรมเป็นอนัตตา ความคิดก็เป็นอนัตตา แล้วไปยึดมั่นถือมั่นแล้วมันจะอนัตตาได้อย่างไร มันเป็นอนัตตาแต่เสือกไปยึดมัน ของที่ดีไม่ยึด ไปยึดแต่ของที่เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากมาเหยียบหัวใจของตัว
นี่กิเลสมันชอบอย่างนั้นนะ ทำไมที่นั่นเขาทำอย่างนั้น ทำไมสภาวะนี่ที่เป็นอย่างนั้น ทำไมเขานอนกิน เขาสะดวกสบาย เขาโกนหัวห่มผ้าเหลืองเขาอยู่กันเป็นเปรต เขาอยู่สุขสบาย ทำไมเขาทำได้ ทำไมเราทำไม่ได้
ไอ้นั่นมันฉากของเขานะ เบื้องลึกของเขาเขานั่งทับขี้ไว้ คนมีแต่ความทุกข์ทั้งนั้นนะ ใครทำความทุจริตไว้ในหัวใจนะมีแต่กองไฟ มันจะเป็นความสุขไปไม่ได้หรอก มันปั้นหน้ากันเฉยๆ มันคนขี้เกียจขี้คร้านไม่ทำมาหากิน บวชมาเพื่ออะไร? บวชมาเพื่อสุขสบายในร่มโพธิ์ร่มไทรของศาสนา แล้วตัวเองเห็นสภาวะแบบนั้น นั่นเขาทำดีๆ เขาทำดีสิถ้าเขาไม่ทำดีเขาไม่ปกปิดไว้ความลับเขาเปิดออกมา เขาก็อยู่ของเขาไม่ได้ เขาก็ปั้นหน้า ไอ้ไปเห็นแต่ฉากของเขา ไปเห็นแต่หน้าของเขาก็ว่าเป็นความดีๆ
แล้วจะมาประพฤติปฏิบัติก็ว่า อู๊ย นู้นก็ทุกข์ นู่นก็ยาก นู้นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ ก็มันขัดเกลากิเลสโว้ย! ก็เอาความดีนะ ก็ชนะตนเองนะ มันชนะตนเองมันก็ต้องมีจุดยืนของเรา เราต้องชนะตัวเราเองสิ เราต้องยืนของเราขึ้นมาให้ได้ ถ้าทำอย่างนี้แล้วมันแก้ที่ไหนล่ะ จุดยืนนั่นคือตัวใจไง ทวนกระแสเข้ามาที่หัวใจ ถ้าหัวใจมันยืนอยู่ได้ หัวใจมันรักษาได้ มันเห็นของแบบนี้เป็นของต่ำๆ เลยนะ นี่สมบัติของเราที่มีคุณค่าขึ้นมาเลยนะ ของอย่างอื่นไร้สาระมาก แล้วคุณค่าของเราคืออะไร คุณค่าของเราคือธรรม คุณค่าของเราคือความรู้สึกของหัวใจจากจุดยืนของเรา มันมีค่าขึ้นมานี่มันจะเห็นของอื่นไม่มีความหมายเลย
ปัจจัยเครื่องอาศัย ของที่อาศัยมันสมมุติไง สัพเพ ธัมมา อนัตตา สมาธิก็เป็นอนัตตา ธรรมะก็เป็นอนัตตา อนัตตาทั้งนั้นนะ แต่ถ้ามันใช้ความเป็นอนัตตานี้เป็นพาหะเข้าไปถึงอัตตาล่ะ เข้าไปถึงอกุปปธรรมล่ะ เข้าไปถึงสัจจะความจริงล่ะ สัจจะความจริงอันนั้นเป็นอนัตตาไหม ถ้ามันเป็นอนัตตา อกาลิโกเรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม อกาลิโก ไม่มีกาล ไม่มีเวลา ไม่มีสิ่งใดๆเลย คงที่ของมัน เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม เปรต ผี มาเลย! มาดูธรรมอันนี้ มาดูธรรมในหัวใจนี้มันไม่แปรสภาพไปกับมึงอีกแล้ว ไอ้ดูหลอกลวงปลิ้นป้อนกันอยู่อย่างนั้นนะ เป็นไปไม่ได้ แต่ความจริงมันเป็นอันนี้ไง
ถ้าเป็นอันนี้มันมาจากไหน ก็มันมาจาก สัพเพ ธัมมา อนัตตานั่นแหละ มันมาจากความเป็นไปของใจ มันมาจากการเปลี่ยนแปลงของจิตนั่นแหละ จิตมันจะเปลี่ยนแปลงขึ้นมา จะเปลี่ยนแปลงขึ้นมาด้วยมีจุดยืนโว้ย! เปลี่ยนแปลงขึ้นมาจากความเป็นจริงของเรา อย่าเปลี่ยนแปลงไปตามกิเลส กิเลสมันเปลี่ยนแปลงอยู่แล้วนะ โน้นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ดี ไม่มีอะไรดีสักอย่างเลย แต่ถ้ากิเลสมันพาลงขี้ลงหนอง ดีมากเลย พาไปนอนจมอยู่กับมูตรคูถมันชอบใจมากเลย ดีอย่างนั้นนะดีของกิเลส แต่ถ้าเราฝืนมันขึ้นมาทุกข์ทั้งนั้นนะ ไต่ขึ้นมาจากมูตรจากคูถ ดูสิตกไปหลุมมูตรหลุมคูถไต่มันขึ้นมานะทุกข์ไหม ทั้งเหม็น ทั้งปีนป่ายขึ้นมา
นี่จิตก็เหมือนกัน มันจะไต่ออกจากกิเลส มันต้องต่อสู้กับไอ้ความเคยใจนะ ไอ้ความโลภ ความโกธร ความหลงนี่ มันต้องไต่มันขึ้นมา มันต้องฝืนจากนี่ขึ้นมา มันต้องฝืนจากหลุมมูตรหลุมคูถ หลุมขี้จากในหัวใจ มันไต่ขึ้นมาเป็นความทุกข์ไหม ทั้งทุกข์ด้วย ทั้งเหม็นด้วย เหม็นสิ เหม็นขี้ เหม็นความเป็นไปของกิเลสตัณหาความทะยานยาก มันจะไต่ขึ้นมาแล้วชำระล้างชำระล้างด้วยอะไร สัพเพ ธัมมา อนัตตานี่ไง สัพเพ ธัมมา อนัตตา สัพเพ ธัมมา อนัตตา นี่มันชำระล้าง ชำระล้าง ชำระล้างเข้าไป แล้วมันสะอาดมันเหม็นอีกไหม มันต้องชำระล้างอีกไหม มันเป็นอกุปปธรรมนะ ถ้าเป็นอัตตามันเป็นตัวตน มันเป็นกิเลส นี่มันอกุปปธรรม กุปปธรรมคือสัพเพ ธัมมา อนัตตา
กุปปธรรม ธรรมะที่เป็นอนัตตา ธรรมะที่เจริญแล้วเสื่อม เพราะมันต้องสร้างขึ้นมา เพราะมันสัจจะความจริง ของมันมีอยู่แล้วทั้งนั้น พระพุทธเจ้ารู้ของมันที่มีอยู่ ซ่อนอยู่ในตัวเรานี่ รู้ของที่มีอยู่ รู้ความคิดที่เป็นไป แต่มันไม่รู้จักแล้วมันบิดเบือน กิเลสบังเงาเอาความคิดมาอ้างเป็นธรรม แล้วเอาธรรมะขี้หมาเหยียบหัวตัวเองไว้ แล้วกูรู้ กูรู้ กูรู้นี่รู้ขี้ๆ!
ถ้ารู้ความเป็นจริงมันจะสลัดทิ้งหมดเลย แล้วมันอาศัยสิ่งที่เหมือนกัน อาศัยสิ่งที่รักษา แต่มันทำลายตัวเองจนชำระล้างสะอาด เห็นไหม มันเป็นอกุปปธรรม ธรรมะนี่ธรรมแท้ๆ มันเป็นสิ่งที่มีอยู่ มันเป็นอัตตา อัตตามันก็เป็นตัวตน แต่มันเป็นสิ่งมีอยู่ สิ่งที่เป็นไป อยู่ในใจนี่ ใจที่มันโลเลไม่มีจุดยืนนี้ ใจที่ไหลไปตามกระแสกิเลส ไหลไปตามกระแสโลก เห็นอะไรที่มันถูกใจนะ ดีไปหมด! เห็นอันที่ขัดเกลากิเลส ไม่ดีไปหมด! แล้วเขียนกันขึ้นมา เขียนขึ้นมา มันเรื่องของเขานะ เรื่องของใครของมัน
นี่ดูสิ สัปปายะ ๔ เห็นไหม หมู่คณะอยู่ด้วยกันเป็นสัปปายะ นี่ทิฏฐิเสมอกัน ความเห็นเสมอกัน นี่ความเห็นเสมอกันเรารักษาของเรา นี่มันเป็นเหมือนกับสระน้ำ ถ้าสิ่งใดมันเข้าไปในสระน้ำนั้น สิ่งนั้นเป็นของสกปรก เราก็จะรักษาของเรา เรารักษาสระน้ำไว้สระหนึ่งเพื่อให้สังคมชาวพุทธเขาได้ดื่มได้กิน ใครเห็นดีด้วยไม่เห็นด้วยมันเรื่องของเขา จะให้ทุกคนเห็นดีกับเรามันเป็นไปไม่ได้ แบกโลกไม่ได้ โลกก็คือโลก เราก็คือเรา ไม่สน เอวัง